หน้าแรก
รู้จักองค์กร
ประวัติความเป็นมา
วิสัยทัศน์และพันธกิจ
โครงสร้างการบริหาร
คณะทำงาน
ติดต่อเรา
ทะเบียนมะเร็ง
ระดับ รพ.สงขลานครินทร์
ระดับ ประชากรจังหวัดสงขลา
สถิติโรคมะเร็งของที่อื่น
ความรู้สำหรับประชาชน
รอบรู้เรื่องมะเร็ง
สุขภาพดี ด้วยโภชนบำบัด
เคล็ดลับโภชนาการ
ขยับสักนิด พิชิตสุขภาพ
เยียวยาจิตใจ
สงบใจไปกับธรรมะ
ถาม-ตอบเรื่องมะเร็ง
ข่าวสารน่ารู้
ลิงค์ที่น่าสนใจ
ติดต่อ/สอบถามโรคมะเร็ง
ความรู้สำหรับประชาชน
-
มะเร็งลำไส้ใหญ่ ภัยเงียบที่ควรรู้
-
ไวรัสตับอักเสบบีและซีกับมะเร็งตับ
-
มะเร็งปากมดลูกและวัคซีน
-
มะเร็งศีรษะและลำคอ
-
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
-
มะเร็งผิวหนัง
-
มะเร็งรังไข่
-
มะเร็งโพรงหลังจมูก
-
มะเร็งช่องปาก
-
มะเร็งต่อมไทรอยด์
-
มะเร็งกล่องเสียง
-
เนื้องอกสมอง
-
มะเร็งกระเพาะอาหาร
-
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน
-
มะเร็งหลอดอาหาร
-
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
-
มะเร็งต่อมลูกหมาก
-
มะเร็งตับ
-
มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง
-
มะเร็งเต้านม
-
มะเร็งปอด
-
มะเร็งปากมดลูก
ความรู้โรคมะเร็ง
มะเร็งปากมดลูก
วันที่ 19 เดือนมกราคม พ.ศ.2552
มะเร็งปากมดลูก
เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดของมะเร็งในสตรีไทย และพบมากในช่วงอายุ 35-60 ปี แต่
มะเร็งปากมดลูกสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็งด้วยการทำแปปสเมียร์ โดยการเก็บเอาเซลล์เยื่อบุบริเวณปากมดลูกไปตรวจหาเซลล์มะเร็งโดยการตรวจภายใน ซึ่งการรักษาจะได้ผลดีมาก หากเป็นมะเร็งที่ตรวจพบในระยะแรก
สาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก คือ
การติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมาหรือเชื้อเอชพีวี (HPV)บริเวณอวัยวะเพศ
โดยเฉพาะที่บริเวณปากมดลูก
ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นมะเร็งปากมดลูก ได้แก่
1. ปัจจัยเสี่ยงทางฝ่ายหญิง
ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน ความเสี่ยงสูงขึ้นตามจำนวนคู่นอนที่เพิ่มขึ้น การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย การสูบบุหรี่ มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอดส์ เริม ซิฟิลิส และหนองใน เป็นต้น
2. ปัจจัยเสี่ยงทางฝ่ายชาย
เนื่องจากการติดเชื้อเอชพีวี(HPV) ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ จึงกล่าวได้ว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่มีเชื้อเอชพีวี (ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ชายจะไม่มีอาการหรือตรวจไม่พบเชื้อ) แม้เพียงครั้งเดียวก็มีโอกาสติดเชื้อเอชพีวีและเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ปัจจัยเสี่ยงทางฝ่ายชาย ได้แก่ สตรีที่มีคู่นอนเป็นมะเร็งองคชาติ เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผ่านประสบการณ์ทางเพศตั้งแต่อายุน้อยหรือมีคู่นอนหลายคน
อาการของมะเร็งปากมดลูก
อาการของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจะมากหรือน้อยขึ้นกับระยะของมะเร็ง ในระยะแรกอาจไม่มีอาการผิดปกติ แต่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยวิธีแปปสเมียร์ อาการที่อาจพบในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ได้แก่
การตกเลือดทางช่องคลอด
เป็นอาการที่พบได้มากที่สุดประมาณร้อยละ 80 90 ของผู้ป่วย ลักษณะเลือดที่ออกอาจจะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ มีน้ำปนเลือด ตกขาวปนเลือด เลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน
อาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามหรือไปสู่อวัยวะอื่นๆ
ได้แก่ ขาบวม ปวดหลัง ปวดก้นกบ ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น
วิธีวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก
1. การตรวจภายใน
หากพบก้อนผิดปกติที่ปากมดลูก แพทย์จะตรวจยืนยันโดยการตัดชิ้นเนื้อบางส่วนไปส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
2. การตรวจทางเซลล์วิทยา
หรือ แปปสเมียร์ เป็นการตรวจภายในร่วมกับการเก็บเอาเซลล์บริเวณปากมดลูกไปตรวจทางเซลวิทยา
3. การตรวจด้วยกล้องขยาย
หรือ คอลโปสโคป ร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
4. การตรวจอื่นๆ ที่อาจช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก
ได้แก่ การขูดภายในปากมดลูก การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด
การรักษามะเร็งปากมดลูก
วิธีการรักษามะเร็งปากมดลูกขึ้นกับระยะของมะเร็ง ความต้องการมีบุตรของผู้ป่วย และโรคทางนรีเวชอื่น ๆ ที่เป็นร่วมด้วย
การรักษาในระยะก่อนเป็นมะเร็งหรือระยะก่อนลุกลาม มีวิธีการติดตามและรักษาได้หลายวิธี ได้แก่
การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า การจี้ปากมดลูกด้วยความเย็น การจี้ด้วยเลเซอร์ การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด หลังจากนั้นควรตรวจติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยการตรวจภายในและทำแปปสเมียร์ หรือตรวจด้วยกล้องขยาย ทุก 4 6 เดือน โดยรอยโรคขั้นต่ำบางชนิดสามารถหายไปได้เองภายใน 1 2 ปี
การรักษามะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม
การเลือกวิธีรักษาขึ้นกับโรคประจำตัวของผู้ป่วย ระยะของมะเร็ง และความพร้อมของโรงพยาบาลหรือแพทย์ผู้ดูแลรักษา
- มะเร็งในระยะแรก รักษาโดยการตัดมดลูกออกร่วมกับการเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณอุ้งเชิงกรานออก และจะให้การรักษาต่อด้วยรังสีรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยมีโอกาสกลับเป็นซ้ำของโรคสูง
- มะเร็งในระยะหลัง รักษาด้วยรังสีรักษาหรือร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด
การพยากรณ์โรค
ผลการรักษามะเร็งปากมดลูกในปัจจุบันได้ผลดีมากขึ้นกว่าในอดีต โดยเฉพาะในระยะก่อนลุกลามและระยะลุกลามเริ่มแรก โดยในระยะก่อนลุกลามการรักษาได้ผลดีเกือบ100 % ดังนั้น
การตรวจค้นหามะเร็งในระยะแรกเริ่มด้วยการตรวจแปปสเมียร์จึงมีความสำคัญมาก โดยสตรีที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วควรรับการตรวจภายในทุกคน
การเตรียมตัวก่อนรับการตรวจค้นหามะเร็งในระยะแรกด้วยการตรวจแปปสเมียร์
- ไม่ควรมีการตรวจภายในมาก่อน 24 ชั่วโมง
- ห้ามสวนล้างภายในช่องคลอดมาก่อน 24 ชั่วโมง
- งดการมีเพศสัมพันธ์คืนวันก่อนมารับการตรวจภายใน
- ไม่ควรเหน็บยาใด ๆ ในช่องคลอดมาก่อน 48 ชั่วโมง
- ควรมารับการตรวจมะเร็งหลังประจำเดือนหมดแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่ไม่มีประจำเดือนแล้วให้มาได้ตามสะดวก
Untitled Document
Best view 1024 x 768 pixel for Internet Explorer
©
หน่วยสารสนเทศมะเร็ง โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 โทร 0-7445-1595 โทรสาร 0-7445-1595
ติชมได้ที่นี่
:
pparadee@medicine.psu.ac.th