ความรู้สำหรับประชาชน
  - ดนตรีบำบัด-คณิตศาสตร์ทางอารมณ์
  - การขจัดทุกข์ด้วยตนเอง
  - โรคซึมเศร้า
  - "อยู่อย่างไรกับ...ความเครียด"
  - ความเครียด...บางอย่างที่คุณควรรู้
  - ภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดโรคทางกายที่พบบ่อย
  - ปัญหาทุกข์ใจผ่อนคลาย ป้องกันได้
  - ปัญหานอนไม่หลับ หลับไม่เพียงพอ
  - การช่วยขจัดทุกข์ผู้อื่น
  - โรคกังวล
  - ทำอย่างไร คนไทยจะอายุยืนมากขึ้น ??
 
เยียวยาจิตใจ
 
 
ภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดโรคทางกายที่พบบ่อย
 
     
 
วันที่ 02 เดือนมีนาคม พ.ศ.2552
 
     
 
 
โดย ผศ. นพ. ปราโมทย์ สุดคนิชย์ คณะแพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี   
 
ข้อมูลจาก : หนังสือจิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี   
   
  โรคภาวะทางจิตใจสามารถทำให้เกิดโรคทางกายได้หลายชนิดมักผ่านการทำงานของระบบประสาท
อัตโนมัติและฮอร์โมน โรคทางกายที่พบบ่อยได้แก่

  1. ปวดศีรษะ ถือเป็นอาการที่พบบ่อยมากที่สุด อาการหนึ่ง
เนื่องมาจากมีสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ได้มากมาย แต่การตรวจ
ร่างกายแล้วพบสาเหตุนั้น กลับพบ ไม่บ่อย ซึ่งทำให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยไม่สบายใจ เชื่อว่าสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากอารมณ์และความเครียด เช่น ภาวะวิตก กังวล หรือภาวะซึมเศร้า มากระตุ้นให้เกิดอาการขึ้นอย่างไร ก็ตาม อาการปวดศีรษะนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออก ของอารมณ์ภายในแล้ว ยังอาจมาจากความเชื่อแบบ
หลงผิด (delusion) หรือเป็นการสื่อให้บุคคลภายนอกรอบตัวผู้ป่วย
ให้ความสนใจกับผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งแพทย์ควรให้ความสนใจ กับผลของอาการนี้ต่อชีวิตทั่วไปของผู้ป่วยและครอบครัวด้วย
 
ชนิดของโรคปวดศีรษะที่สัมพันธ์กับจิตใจคือ
       1.1 ไมเกรน มีปัจจัยทางพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องด้วยกว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยและมักพบในผู้มี
อาการมีบุคลิกภาพแบบพยายามควบคุมทุกอย่างในชีวิตให้ดี มีระเบียบ ไม่แสดงความโกรธ แต่ไม่พบว่าจะมีเหตุการณ์ใดที่เจาะจงให้เกิดอาการนี้อาศัยการรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมอาการ และใช้จิตบำบัดเพื่อแก้ไขบุคลิกดังกล่าวในระยะยาว
       1.2 ปวดศีรษะจากความตึงเครียด (Tension headache) ส่วนใหญ่มีอาการในช่วงบ่ายหรือ
เย็นหลังการงานที่ทำให้เครียด หรือบางรายก็มีปัญหากับครอบครัว โรคทางจิตเวชเกือบทุกโรคทำให้เกิดอาการชนิดนี้ได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่จริงจังและแข่งขัน ควรค้นหาว่ามีโรคทางจิตเวชหรือไม่ โดยถามถึงอาการร่วมอื่นๆ อาจให้ยาคลายกังวล ในระยะยาว นอกจากนี้ การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัดจะช่วยป้องกันอาการเป็นซ้ำได้
   
  2. โรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน
       มีข้อสังเกตมานานแล้วว่า เมื่อบุคคลมีความเครียด จะเกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายและบ่อยขึ้นจากโรค
ต่างๆ ไม่ว่าโรคติดเชื้อหรือโรคภูมิแพ้ ปัจจุบันจึงมีการศึกษาทางการแพทย์ในเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น แม้การศึกษาจะไม่บ่งชี้ชัดนักในแง่การวัดปริมาณเม็ดเลือดหรือสารภูมิคุ้มกัน เช่น มีเส้นใยประสาทในไขกระดูก หรือต่อมไทมัสหรือหากไฮโปทาลามัส ถูกทำลายจะทำให้ปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างไปจากเดิม
       นอกจากนี้ การทำงานของเม็ดเลือดขาว ก็ขึ้นกับสื่อประสาทและฮอร์โมนหลายชนิด หรือโรคที่
เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบางอย่าง รวมทั้งผู้ป่วยเอดส์ มีอาการรุนแรงมากน้อยตามความเครียด มีผู้พบว่าผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับการช่วยเหลือทางจิตใจจะฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น
   
  3. ปวดหลัง
       เช่นเดียวกับอาการปวดศีรษะ กว่าร้อยละ 95 ของผู้มีอาการปวดหลังไม่สามารถตรวจพบความผิด
ปกติที่ชัดเจนได้ นอกจากนั้นพบว่าผู้มีอาการนี้ไม่น้อยมีความกังวลหรือซึมเศร้าร่วมอยู่ด้วย การรักษาจึงอาจให้ยารักษาภาวะดังกล่าวร่วมกับยาแก้ปวด รวมทั้งให้คำแนะนำ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และสนับสนุนให้กลับไปทำหน้าที่เดิม
   
  4. ไขข้ออักเสบรูมาตอยด์
       มีผู้สนใจในบุคลิกภาพของผู้ป่วยด้วยโรคนี้ว่า มักมีลักษณะเสียสละ ทำตนให้ลำบาก อดกลั้น
และต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด โดยไม่แสดงความรู้สึก และมีบางรายพบว่า อาการกำเริบตามความเครียดทางจิตใจ ผู้ป่วยเหล่านี้มีโอกาสเกิดความซึมเศร้าอันเป็นผลมาจากความพิการจากโรคได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
   
  5. โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
       โรคหัวใจขาดเลือด เกิดอาการได้เสมอหากผู้ป่วยเกิดความเครียดหรือโกรธ มีผู้เสนอว่า ผู้ที่
ป่วยโรคเหล่านี้มักมีบุคลิกภาพที่แข่งขัน รุนแรง ทะเยอทะยาน ไขว่คว้า แต่อารมณ์ฉุนเฉียว โดยจะพบระดับโปรตีนในเลือด, คลอเลสเตอรอล หรือไตรกลีเซอไรด์ ในเลือดสูงด้วย จนเสี่ยงต่อภาวะดังกล่าว
       โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุ คนเหล่านี้มักมีท่าทีเป็นมิตร เชื่อฟังเคร่งครัดตามกฎ และ
เก็บงำความโกรธไว้ไม่แสดงออก ร่วมกับมีประวัติครอบครัวของการป่วยโรคนี้
       การรักษาทั้ง 2 โรค ได้แก่ การทำจิตบำบัดเพื่อเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต แนวคิดมุ่งหวัง ให้รู้จัก
ผ่อนคลาย ทำเทคนิคคลายเครียดอย่างมีหลักการร่วมกับการใช้ยาควบคุมโรคดังกล่าวโดยตรง
   
  6. โรคระบบทางเดินอาหาร
       โรคแผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องอืด เป็นที่ยอมรับมานานแล้วว่า อาการและโรคนี้
สัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรควิตกกังวลเรื้อรัง โดยเฉพาะแผลในกระเพาะอาหารมากกว่าแผลในลำไส้เล็กมีการศึกษาด้วยว่า ความกังวลทำให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัวของกระเพาะอาหารผิดปกติ ร่วมกับรายงานที่ว่า เมื่อบุคคลต้องเผชิญกับเหตุการณ์เครียดที่รุนแรง เช่น การสูญเสียคนใกล้ชิด จะมีอาการท้องอืดมากกว่าคนทั่วไป การรักษาด้วยยารักษาโรคกระเพาะเท่านั้น จึงอาจไม่เพียงพอในการรักษาหรือป้องกันในระยะยาว การฝึกผ่อนคลาย การแก้ปัญหา และจิตบำบัดร่วมไปด้วย จะทำให้ผู้ป่วยปลอดจากอาการดังกล่าวได้นานกว่าผู้รับประทานยารักษาโรคกระเพาะเพียงอย่างเดียว
       ภาวะกลุ่มอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย (Irritable bowel syndrome) มักมีอาการทองผูกสลับ
ท้องเสียปวดท้องมีลมในทางเดินอาหารมากอย่างเรื้อรัง โดยไม่สัมพันธ์กับชนิดของมื้ออาหาร หรือการติดเชื้อ หรือการใช้ยาในสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ไปพบแพทย์ระบบทางเดินอาหารมากกว่าร้อยละ 50 มีอาการนี้ และกว่าร้อยละ 32 มีสมาชิกในครอบครัวที่มีอาการนี้เช่นกัน การทดสอบด้วยแบบทดสอบทางจิตวิทยาพบว่า ผู้ป่วยจะมีความกังวล ขาดความเชื่อมั่น โทษตนเอง และอาจบอกอาการเจ็บป่วยอื่นๆ อีกคล้ายในโรคความผิดปกติทางจิตใจที่แสดงอาการออกทางร่างกาย (กลุ่ม somatization disorder) และเมื่อมีความเครียด ผู้ป่วยจะเกิดอาการมากขึ้น คนรอบข้างจะให้ความสนใจผู้ป่วยมากขึ้นด้วย การรักษาจึงต้องอาศัยหลายวิธี ทั้งการใช้ยารักษาอาการท้องผูก ท้องเสีย การควบคุมชนิดของอาหาร การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด ให้ให้ยาต้านเศร้า กลุ่ม tricyclic ร่วมกับการเปลี่ยนการสนองต่อการของครอบครัวของผู้ป่วยด้วย
   
  7. อาการของระบบทางเดินหายใจ
       ที่พบบ่อยมากในห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล คืออาการของระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง
(hyperventilation syndrome) ที่มีอาการคล้ายหอบหืด โดยผู้ป่วยจะมีอาการหายใจหอบเร็ว หัวใจเต้นแรง บ่นแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มือเท้าชา เกร็ง บางรายจะมีนิ้วมือจีบร่วมด้วย
       โรคหอบหืด แม้ว่าจะมีการพิสูจน์แล้วว่าอาการของโรคเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันแต่มีข้อสังเกตว่า
ผู้ป่วยมักมีลักษณะเก็บความโกรธ ไม่สามารถแสดงความอยากพึ่งพิงผู้อื่นออกได้ และอารมณ์ดังกล่าวถูกส่งผ่านระบบประสาทอัตโนมัติและระบบภูมิคุ้มกันจนเกิดอาการ ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการเป็นประจำ การมองหาปัจจัย ทางจิตใจและแก้ไขนอกเหนือไปจากการให้ยาขยายหลอดลมอาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นสำหรับความสัมพันธ์ ระหว่างสภาพจิตใจกับการเกิดมะเร็งนั้น ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าเป็นเหตุและผลต่อกันได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีปัจจัยอื่นอีกหลายประการที่เข้ามามีบทบาทในการเกิดมะเร็ง เช่น พันธุกรรม การใช้ชีวิต การได้เผชิญกับสารต่างๆ ตลอดจนภาวะภูมิคุ้มกันของบุคคลนั้นๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าสภาพจิตใจมีผลต่อการดำเนินโรคของมะเร็งอยู่ไม่น้อย
   
  จะเห็นได้ว่า โรคทางกายที่เป็นผลจากจิตใจดังกล่าว แม้จะมีพยาธิสภาพทางกายหรือ
พยาธิสรีระ ที่เกิดขึ้นจริง แต่การใช้ยารักษาอาการทางกายโดยไม่สนใจสภาพจิตใจ จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาด้อยลง ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงการรักษาด้านจิตสังคม การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย
   
กลับสู่ด้านบน
 
     
Untitled Document

   
      Best view 1024 x 768 pixel for Internet Explorer © หน่วยสารสนเทศมะเร็ง  โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
    ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 โทร 0-7445-1595 โทรสาร 0-7445-1595 
ติชมได้ที่นี่ : pparadee@medicine.psu.ac.th