หน้าแรก
รู้จักองค์กร
ประวัติความเป็นมา
วิสัยทัศน์และพันธกิจ
โครงสร้างการบริหาร
คณะทำงาน
ติดต่อเรา
ทะเบียนมะเร็ง
ระดับ รพ.สงขลานครินทร์
ระดับ ประชากรจังหวัดสงขลา
สถิติโรคมะเร็งของที่อื่น
ความรู้สำหรับประชาชน
รอบรู้เรื่องมะเร็ง
สุขภาพดี ด้วยโภชนบำบัด
เคล็ดลับโภชนาการ
ขยับสักนิด พิชิตสุขภาพ
เยียวยาจิตใจ
สงบใจไปกับธรรมะ
ถาม-ตอบเรื่องมะเร็ง
ข่าวสารน่ารู้
ลิงค์ที่น่าสนใจ
ติดต่อ/สอบถามโรคมะเร็ง
ความรู้สำหรับประชาชน
-
มะเร็งลำไส้ใหญ่ ภัยเงียบที่ควรรู้
-
ไวรัสตับอักเสบบีและซีกับมะเร็งตับ
-
มะเร็งปากมดลูกและวัคซีน
-
มะเร็งศีรษะและลำคอ
-
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
-
มะเร็งผิวหนัง
-
มะเร็งรังไข่
-
มะเร็งโพรงหลังจมูก
-
มะเร็งช่องปาก
-
มะเร็งต่อมไทรอยด์
-
มะเร็งกล่องเสียง
-
เนื้องอกสมอง
-
มะเร็งกระเพาะอาหาร
-
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน
-
มะเร็งหลอดอาหาร
-
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
-
มะเร็งต่อมลูกหมาก
-
มะเร็งตับ
-
มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง
-
มะเร็งเต้านม
-
มะเร็งปอด
-
มะเร็งปากมดลูก
ความรู้โรคมะเร็ง
มะเร็งปอด
วันที่ 19 เดือนมกราคม พ.ศ.2552
มะเร็งปอด
เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งในเพศชายทั้งหมดในประเทศไทยซึ่งตรวจพบในระยะเริ่มแรกได้ค่อนข้างยาก
สาเหตุ :
ของมะเร็งปอดยังไม่ทราบแน่ชัด
แต่มีสาเหตุส่งเสริมหรือปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอดดังนี้ คือ
1. ร้อยละกว่า 90 เกิดจากการสูบบุหรี่
ผู้สูบมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ไม่สูบถึง 10 เท่า
ผู้ที่ต้องสูดดมควันบุหรี่ของผู้อื่นเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดด้วยเช่นกัน
ควันบุหรี่ มีสารประกอบมากกว่า 4,000 ชนิด และในจำนวนนี้ ประมาณ 60 ชนิด ที่เป็นสารก่อมะเร็ง ตัวกระตุ้นและตัวส่งเสริมให้เกิดมะเร็งปอด ได้แก่ ทาร์ นิโคติน คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นต้น
มะเร็งปอดพบมากในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งนิยมสูบบุหรี่พื้นเมือง ยามวน ซึ่งมีปริมาณทาร์ และสารก่อมะเร็งอื่น ๆ สูง
2. การสัมผัสกับสารแอสเบสทอส
ซึ่งเป็นแร่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น การก่อสร้าง โครงสร้างอาคาร ผ้าเบรค คลัช ฉนวนความร้อน อุตสาหกรรมสิ่งทอ เหมืองแร่ โดย
ผู้ที่เสี่ยงคือ ผู้ที่ทำงานในสิ่งแวดล้อมที่มีการใช้ แอสเบสทอสเป็นส่วนประกอบ
ระยะเวลาตั้งแต่สัมผัสฝุ่นแอสเบสทอส จนเป็นมะเร็งปอดอาจใช้เวลา 1535 ปี
ผู้ไม่สูบบุหรี่ แต่ทำงานกับฝุ่นแร่แอสเบสทอส เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดมากกว่าคนทั่วไป 5 เท่า
ผู้ที่สูบบุหรี่ และทำงานกับฝุ่นแร่แอสเบสทอสด้วย จะเสี่ยงต่อมะเร็งปอดมากกว่าคนทั่วไปถึง 90 เท่าทีเดียว
3. เรดอน
เป็นก๊าซกัมมันตรังสี ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนียมในหินและดิน กระจายอยู่ในอากาศและน้ำใต้ดิน ในที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท เช่น ในเหมืองใต้ดิน อาจมีปริมาณมากทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้
4. มลภาวะในอากาศ
ได้แก่ควันพิษจากรถยนต์ และโรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานถลุงเหล็ก โครเมียม นิเกิล แคดเมียม โรงงานน้ำมัน ดินน้ำมัน เป็นต้น
5. สาเหตุอื่น ๆ
เช่น พันธุกรรม ผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคถุงลมโป่งพอง วัณโรค เป็นต้น
อาการแสดง :
มะเร็งปอดในระยะแรกจะยังไม่มีอาการ ส่วนใหญ่จะมีอาการแสดงเมื่อโรคเป็นมากแล้ว อาการที่อาจพบได้ คือ
1. ไอเรื้อรัง ลักษณะไอแห้ง ๆ นานกว่าธรรมดา บางครั้งมีเสมหะหรือมีเลือดออก
2. น้ำหนักลดรวดเร็ว
3. เบื่ออาหาร ซีด อ่อนเพลีย
4. เหนื่อยง่าย
5. เจ็บหน้าอก
นอกจากนี้ ถ้าโรครุนแรงเพิ่มขึ้นก็จะมีอาการ
หอบเหนื่อย
บวมบริเวณ คอ หน้า แขน อก จากการที่ก้อนกดทับเส้นเลือดดำใหญ่
กลืนอาหารลำบาก เป็นต้น
ซึ่งอาการเหล่านี้ อาจจะคล้ายกับอาการของโรคปอดอื่น ๆ ได้ด้วย ซึ่งอย่าเพิ่งตกใจหากมีอาการเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือ ควรจะมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
วิธีการตรวจวินิจฉัยมะเร็งปอด :
มีดังนี้
1. ถ่ายภาพเอกซเรย์ปอด
2. ตรวจเสมหะที่ไอออกมาเพื่อหาเซลล์มะเร็ง
3. ส่องกล้องตรวจดูภายในหลอดลม
4. ตัดชิ้นเนื้อบางส่วนจากหลอดลม หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณไหปลาร้าไปตรวจเพื่อการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยา
การรักษา :
เมื่อพบว่าเป็นมะเร็งปอดแน่นอนแล้ว แพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าผู้ป่วยควรจะได้รับการรักษาแบบใด จึงจะเหมาะสมที่สุด โดยพิจารณาถึงอายุ ภาวะความแข็งแรงของร่างกาย ระยะของโรค ชนิดของมะเร็ง และการยอมรับของผู้ป่วย ซึ่งการรักษาจะประกอบด้วย
1. การผ่าตัด หากเป็นในระยะเริ่มแรก
2. รังสีรักษา
3. เคมีบำบัด
4. การรักษาแบบผสมผสาน คือ การใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันเพื่อบรรเทาอาการ
Untitled Document
Best view 1024 x 768 pixel for Internet Explorer
©
หน่วยสารสนเทศมะเร็ง โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 โทร 0-7445-1595 โทรสาร 0-7445-1595
ติชมได้ที่นี่
:
pparadee@medicine.psu.ac.th