ไวรัสตับอักเสบบี
และซี เป็นไวรัสตับอักเสบที่เป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุข
ปัจจุบันพบผู้ป่วยที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีทั่วโลก
ประมาณ 350-400 ล้านคน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบบีสูง
เช่นเดียวกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และอัฟริกา
การติดต่อ |
|
ในประเทศไทยการรับเชื้อส่วนใหญ่มาจากมารดาเป็นพาหะติดต่อสู่ทารกตอนคลอด
เนื่องจากในวัยเด็กภูมิคุ้มกันยังไม่ดีพอกำจัดเชื้อไวรัสได้ยาก
ไวรัสตับอักเสบบี และซี สามารถติดต่อได้ทางเลือด เช่น
การรับเลือดและผลิตภัณฑ์ของเลือด (การติดต่อทางเลือดนี้ลดลงมาก
นับตั้งแต่มีการตรวจคัดกรองเมื่อบริจาคเลือด) จากเข็มฉีดยา
การฝังเข็ม และเครื่องมือต่างๆ ที่ปนเปื้อนเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี
เชื้อไวรัสตับอักเสบบี
จะสามารถตรวจพบได้ในน้ำตา น้ำมูกในโพรงจมูก น้ำอสุจิ
เยื่อเมือกช่องคลอด เลือดประจำเดือน และน้ำคร่ำ ดังนั้นจึงสามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์และเมื่อมีการสัมผัสกับสารคัดหลั่งดังกล่าว
ส่วนการรับประทานร่วมกันมีโอกาสติดเชื้อได้น้อยมาก และปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแล้ว
ส่วนไวรัสตับอักเสบซี
การติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการติดต่อจากแม่ไปสู่ลูก และการติดต่อในครอบครัวพบได้น้อยมาก
โดยปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดซีได้
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าติดเชื้อไวรัสซี เพราะมักจะไม่มีอาการ
แต่ตรวจพบจากการตรวจเลือดของตับอักเสบและไวรัสซีในเลือด
|
|
|
|
|
เมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ
บีและซี จะเสี่ยงกับโรคมะเร็งตับอย่างไร
เมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในวัยเด็กโอกาสจะหายน้อย
และมีโอกาสกลายเป็นพาหะ หรือตับอักเสบเรื้อรังได้ร้อยละ
50-90 เมื่อเทียบกับถ้าได้รับเชื้อในวัยผู้ใหญ่ ร้อยละ
5-10 ผู้ที่เป็นพาหะหรือตับอักเสบบีเรื้อรังส่วนหนึ่งจะมีการดำเนินโรคกลายเป็นโรคตับแข็ง
และมะเร็งตับ เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น น้ำในช่องท้อง
ตาเหลือง ตัวเหลือง เลือดออกจากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร
มีอาการซึมสับสนทางสมอง ตับวาย
บุคคลที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส
ตับอักเสบบีและซี มีดังนี้ |
|
|
เปลี่ยนคู่นอนบ่อย และมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ได้รับการสัก เจาะหู หรือฝังเข็ม ที่ปนเปื้อนเลือดของผู้อี่น
การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน
การใช้ใบมีดโกน หรือแปรงสีฟัน ร่วมกับบุคคลที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี
ได้รับเลือดหรือส่วนผสมของเลือด และการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะก่อน
พ.ศ. 2529 |
|
|
|
กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับ
1.
ผู้ป่วยโรคตับแข็งทั้งเพศหญิงและชาย
2.
ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบบี
หรือผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกคลอดหรือวัยเด็ก
และยังไม่มีโรคตับแข็งแต่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับสูงในเพศชาย
อายุมากกว่า 45 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี และมีประวัติมะเร็งตับในครอบครัว
3.
ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรังบางกลุ่ม รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายแล้ว
|
|
|
วิธีการตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับในกลุ่มเสี่ยง
โดยตรวจเลือดหาค่า
Alfa-fetoprotein (AFP) ร่วมกับการตรวจตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง(ultrasonography)
เป็นประจำทุก 6 เดือน |
|
|
แนวทางการวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ
เมื่อตรวจคัดกรองมะเร็งตับในกลุ่มเสี่ยงโดยการตรวจตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
ร่วมกับการเจาะเลือดตรวจหาค่า AFP แล้วพบความผิดปกติจากการตรวจคัดกรอง
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคมะเร็งตับเพิ่มเติม ดังนี้ |
|
|
กรณีตรวจพบก้อนจากการตรวจตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
1.
ถ้าก้อนที่ตับมีลักษณะเส้นเลือดมาก และมีขนาดใหญ่กว่า
2 เซนติเมตร และมีค่า AFP มากกว่า 400 ng/mL สามารถวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับโดยไม่ต้องตรวจชิ้นเนื้อตับ
2.
ถ้าการตรวจตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (US) พบก้อนที่ตับขนาด
1-2 เซนติเมตร แพทย์จะทำการตรวจยืนยันโดยการตรวจตับด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์
(CT scan) และ/หรือ ด้วยเครื่องตรวจร่างกายด้วยสนามแม่เหล็กความเข้มสูง
(MRI) และดูค่า AFP ดังข้อ 1 หรือตรวจชิ้นเนื้อตับต่อไป
3.
ถ้าพบก้อนขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร ซึ่งการตรวจชิ้นเนื้อทำได้ยาก
แพทย์จะทำการตรวจตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (US) และเจาะเลือดตรวจหาค่า
AFP ซ้ำทุก 3 เดือน ถ้าก้อนขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีค่า AFP
สูงขึ้น จะถือว่ามีโอกาสเป็นโรคมะเร็งตับ แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมดังข้อ
2. |
|
|
กรณีตรวจ
US ไม่พบก้อน
1.
หากค่า AFP ปกติ แพทย์จะนัดเจาะเลือดตรวจหาค่า AFP ร่วมกับตรวจตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
(US) ทุก 6 เดือน
2.
หากค่า AFP สูงกว่าปกติ (>100ng/ml) แพทย์จะตรวจตับด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์
(CT scan) เพิ่มเติม และถ้าไม่พบความผิดปกติ แพทย์จะนัดเจาะเลือดตรวจหาค่า
AFP ร่วมกับตรวจตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (US) ทุก
6 เดือน |
|
|
|