ความรู้สำหรับประชาชน
  - มะเร็งลำไส้ใหญ่ ภัยเงียบที่ควรรู้
  - ไวรัสตับอักเสบบีและซีกับมะเร็งตับ
  - มะเร็งปากมดลูกและวัคซีน
  - มะเร็งศีรษะและลำคอ
  - มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
  - มะเร็งผิวหนัง
  - มะเร็งรังไข่
  - มะเร็งโพรงหลังจมูก
  - มะเร็งช่องปาก
  - มะเร็งต่อมไทรอยด์
  - มะเร็งกล่องเสียง
  - เนื้องอกสมอง
  - มะเร็งกระเพาะอาหาร
  - มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน
  - มะเร็งหลอดอาหาร
  - มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  - มะเร็งต่อมลูกหมาก
  - มะเร็งตับ
  - มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง
  - มะเร็งเต้านม
  - มะเร็งปอด
  - มะเร็งปากมดลูก
 
ความรู้โรคมะเร็ง
 
 
มะเร็งลำไส้ใหญ่ ภัยเงียบที่ควรรู้
 
     
 
วันที่ 19 เดือนมกราคม พ.ศ.2552
 
     
 
 
โดย หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์  โทร. 0 7445 1469   
ศูนย์มะเร็ง คณะแพทยศาสตร์  โทร. 0 7445 1595   
     
        ในปัจจุบันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ถือเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการตายในอันดับต้น ๆ จากโรคมะเร็งทั้งหมด ทั้งในประเทศแถบยุโรป อเมริกา และประเทศแถบตะวันตก ซึ่งในประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มาพบแพทย์ส่วนใหญ่จะเป็นมะเร็งในระยะสุดท้ายหรือมารับการรักษาที่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อการรักษาและทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตในระยะเวลาอันรวดเร็ว สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ที่มาพบแพทย์ช้า หรือมาพบแพทย์ไม่ต่อเนื่อง เป็นเพราะขาดความรู้ ความเข้าใจในส่วนของตัวโรคเอง การตรวจ การรักษา การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และความกลัวในเรื่องของผลข้างเคียง
        ปัจจุบันนี้การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่มีความก้าวหน้ามากขึ้น ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่มีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น หรือทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ทราบว่าตนเองเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จนถึงการปฏิบัติตนในระหว่างได้รับการรักษา
        ดังนั้น การให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ การตรวจ การรักษา ที่ง่ายต่อความเข้าใจของประชาชน จะทำให้ผู้ป่วยลดความกังวลและให้ความร่วมมือในการรักษา รวมถึงการมาเข้ารับการรักษาตามที่แพทย์กำหนดได้ดียิ่งขึ้น
 
        มะเร็ง เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่แบ่งตัวต่อเนื่องโดยไม่สามารถควบคุมได้ เซลล์ที่ผิดปกติเมื่อแบ่งตัวต่อเนื่องจนกลายเป็นก้อนขนาดใหญ่เรียกว่า เนื้องอก ซึ่งเนื้องอกอาจจะกลายเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ได้ เมื่อมะเร็งแพร่เข้าสู่กระเสเลือดหรือทางเดินน้ำเหลืองและไปปรากฏยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเรียกว่า มะเร็งแพร่กระจาย
        มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นเซลล์มะเร็งของเนื้อเยื่อลำไส้ ชนิดที่พบบ่อยคือมะเร็งที่เติบโตมาจากเนื้อเยื่อที่มีลักษณะเป็นต่อมในลำไส้ใหญ่ก่อนที่เซลล์จะกลายเป็นมะเร็ง บางครั้งอาจพบลักษณะคล้ายติ่งเนื้องอกในลำไส้ขึ้นมาก่อนได้ซึ่งการผ่าตัดติ่งเนื้องอกออก สามารถป้องกันไม่ให้เซลล์เปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งได้ มะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจลุกลามทะลุผนังลำไส้หรือแพร่กระจายต่อไปยังตับ ปอด สมอง หรือกระดูกได้
 
 
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
        ปัจจัยเสี่ยง หมายถึง สิ่งใดก็ได้ที่สามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคในบุคคลคนนั้น สำหรับการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้น มีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้
        1. มีประวัติติ่งเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ ซึ่งติ่งเนื้อบางชนิดอาจกลายเป็นมะเร็งในเวลาต่อมาได้ การตรวจลำไส้ใหญ่โดยการส่องกล้อง สามารถตรวจพบและผ่าออกได้ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งต่อไป
        2. อายุ พบว่ามากกว่า 90 % ของมะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดในอายุมากกว่า 50 ปี
        3. โรคลำไส้ใหญ่บางชนิด อาจเกิดการอักเสบเรื้อรัง และกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงได้
        4. มีประวัติมะเร็งชนิดอื่น ที่เคยเป็นมาก่อนในบุคคลนั้น
        5. มีประวัติมะเร็งในครอบครัว หรือมีโรคแต่กำเนิดบางชนิด เช่น โรคเนื้องอกแต่กำเนิดในลำไส้ใหญ่ อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงได้
        6. กิจวัตรประจำวัน เช่น การบริโภคอาหารไขมันสูง หรือไม่ได้ออกกำลังกายอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงได้
        7. การสูบบุหรี่
 
การป้องกันโดยการตรวจสอบก่อนมีอาการ
        แพทย์จะให้คำแนะนำในการตรวจสอบในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น ผู้ป่วยที่มีประวัติครอบครัวว่าเป็นมะเร็ง ซึ่งการตรวจสอบมีหลายวิธี เช่น หลังจากอายุ 50 ปีไปแล้ว อาจได้รับการตรวจสอบหาปริมาณเลือดปนเปื้อนในอุจจาระปีละครั้ง และ/หรือการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทุก 5-10 ปี และหากสงสัยว่ามีปัจจัยเสี่ยงมาก อาจตรวจสอบถี่กว่าระยะเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ยังอาจมีการตรวจร่างกายโดยใช้นิ้วคลำบริเวณทวารหนัก การตรวจทางรังสี เช่น การสวนแป้งแบเรียม หรือการตรวจภาพคอมพิวเตอร์สแกน เป็นต้น
 
อาการและอาการแสดง
        อาการและอาการแสดงต่อไปนี้อาจทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ได้เร็ว ซึ่งหากตรวจพบมะเร็งระยะเริ่มแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ อาการดังกล่าวได้แก่
        1. การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายประจำ หรือลักษณะอุจจาระลีบเล็กลง
        2. ท้องเสียหรือท้องผูกสลับกัน
        3. อึดอัดแน่นท้อง มีอาการเกร็งคล้ายเป็นตะคริวในท้อง
        4. น้ำหนักลด โดยไม่ได้จำกัดอาหาร
        5. เลือดออกทางทวารหนัก หรือปนมากับอุจจาระ
        6. เบื่ออาหาร อ่อนเพลียอย่างผิดปกติ
 
 
การวินิจฉัย
        แพทย์จะตรวจวินิจฉัยตามวิธีการที่เหมาะสม การตัดชิ้นเนื้อเป็นวิธีที่สามารถวินิจฉัยได้อย่างแน่นอนร่วมกับการตรวจเลือดหรือการตรวจทางรังสีอื่น ๆ เพื่อตรวจการลุกลามแพร่กระจายของโรคโดยพิจารณาจากอายุและโรคประจำตัวของผู้ป่วย ชนิดของมะเร็ง ความรุนแรงของอาการ และการตรวจสอบที่เคยทำมาแล้ว
 
ระยะของโรค
        ระยะของโรคเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาวิธีการรักษา การตรวจสอบเพื่อระบุระยะของโรค เป็นวิธีมาตรฐานในการประเมินก่อนการรักษา การผ่าตัดเป็นการรักษาหลักในทุกระยะของโรค ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ตามแต่พิจารณา
        ระยะของโรค มี 5 ระยะ สามารถแบ่งได้เป็น
        ระยะ 0-1   โรคจำกัดอยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ การรักษาหลักคือ การผ่าตัด
        ระยะ 2-3   โรคลุกลามออกนอกผนังลำไส้ใหญ่ หรือเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง การรักษาหลักจะเป็นการพิจารณาการใช้การผ่าตัด, เคมีบำบัด, รังสีรักษาร่วมกัน
        ระยะ 4     โรคแพร่กระจายสู่อวัยวะอื่น การรักษาจะพิจารณาผู้ป่วยเป็นราย ๆ ไป
 
 
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
         ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนมะเร็ง ตำแหน่งของที่เกิดมะเร็ง การลุกลามของโรค และสภาพของผู้ป่วย
 
         การผ่าตัด
         ควรได้รับการผ่าตัดโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านมะเร็ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นการผ่าตัดส่วนที่เป็นมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงออก ผู้ป่วยบางรายอาจต้องมีการนำลำไส้มาเปิดทางหน้าท้องและขับถ่ายทางถุงหน้าท้อง ซึ่งอาจเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ ปัจจุบันการนำรังสีรักษาและเคมีบำบัดมาใช้ร่วมกับการผ่าตัดสามารถลดการนำลำไส้มาเปิดที่หน้าท้องอย่างถาวรได้
         ปัจจุบันมีการผ่าตัดผ่านกล้องส่องทางหน้าท้อง ซึ่งลดผลข้างเคียงจากการผ่าตัดใหญ่ได้ แต่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยทุกราย
 
         รังสีรักษา
         รังสีรักษา  สามารถให้ก่อนหรือหลังผ่าตัด เพื่อทำลายโรคบริเวณต้นกำเนิดการให้รังสีรักษาก่อนผ่าตัดสามารถช่วยลดขนาดโรคทำให้ผ่าตัดได้ง่ายขึ้น ส่วนการให้หลังผ่าตัดสามารถช่วยทำลายโรคที่อาจหลงเหลืออยู่ ปัจจุบันพบว่าการให้รังสีรักษาร่วมกับเคมีบำบัดก่อนการผ่าตัดให้ผลดีกว่าการให้หลังการผ่าตัด สามารถลดการเกิดโรคขึ้นมาใหม่ และเลี่ยงการผ่าตัดชนิดนำลำไส้ใหญ่มาเปิดไว้ที่หน้าท้องได้
         รังสีรักษาวิธีการพิเศษ  เช่น การฉายรังสีปริมาณสูงเพียงครั้งเดียวระหว่างผ่าตัดหรือการฝังแร่ สามารถใช้ในบริเวณรอยโรคเล็ก ๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่หลังการผ่าตัดได้
         การรักษาดังกล่าวมาทุกวิธี มีผลข้างเคียงกับผู้ป่วยได้แตกต่างกันไป ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะให้คำแนะนำและรักษาผลข้างเคียงดังกล่าวไปด้วย
         ยาเคมีบำบัด
        ยาเคมีบำบัดสามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ก่อนหรือหลังการผ่าตัดได้แต่อาจมีผลข้างเคียงมากในผู้ป่วยบางราย ซึ่งปัจจุบันสามารถให้ยาบรรเทาผลข้างเคียงดังกล่าวร่วมด้วยได้
 
ผลข้างเคียงจากการรักษา
        ผลข้างเคียงจากการรักษา จะแตกต่างกันไปตามชนิดของการรักษา มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจมีผลทำให้ผลข้างเคียงรุนแรงมากหรือน้อยต่างกันไป แพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้แนะนำและให้การรักษาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยตามความเหมาะสมเป็นรายๆ ไป
 
 
การใช้ยาเพื่อรักษาเฉพาะเป้าหมาย
        เป็นการรักษาใหม่เพื่อยับยั้งมะเร็งโดยตรงที่เป้าหมาย เช่น ยายับยั้งการสร้างเส้นเลือดในมะเร็ง เป็นต้น ยายับยั้งการสร้างเส้นเลือด เป็นยารักษามะเร็งในกลุ่มที่ใช้การออกฤทธิ์โดยตรงที่เป้าหมาย โดยอาศัยหลักการของการสร้างเส้นเลือดในมะเร็ง เนื่องจากมะเร็งเป็นการเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง จึงต้องสร้างเส้นเลือดเพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารมาเลี้ยงตัวเองให้เติบโต เซลล์มะเร็งบางเซลล์สามารถสร้างโปรตีนที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดและปลดปล่อยสารนี้ออกไปยังเส้นเลือดใกล้เคียง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่จากเส้นเลือดปกติและแผ่ขยายเข้าสู่ก้อนมะเร็งได้ ซึ่งผลที่ตามมา คือ
        1. มะเร็งสามารถขยายขนาดได้อย่างรวดเร็ว
        2. มะเร็งสามารถลุกลามเข้าสู่อวัยวะอื่นๆ ในบริเวณนั้น
        3. เซลล์มะเร็งสามารถกระจายเข้าสู่เส้นเลือดที่สร้างใหม่ และเข้าสู่ระบบกระแสเลือดของร่างกายได้
        4. เซลล์มะเร็งสามารถกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ต่อไปได้
        * ยายับยั้งการสร้างเส้นเลือดสามารถยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่ของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเติบโต เนื่องจากขาดเส้นเลือดที่จะหล่อเลี้ยง
 
 
ความแตกต่างระหว่างการรักษา
โดยยายับยั้งการสร้างเส้นเลือด กับยาเคมีบำบัด
        1. ยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ที่ก้อนมะเร็ง ในขณะที่ยายับยั้งการสร้างเส้นเลือดออกฤทธิ์ที่หลอดเลือดโดยรอบ พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยยาเคมีบำบัดร่วมกับยายับยั้งการสร้างเส้นเลือด พบว่าผู้ป่วยมีชีวิตได้ยืนยาวขึ้น
        2. ยาเคมีบำบัดอาจออกฤทธิ์ทำลายเซลล์ที่กำลังแบ่งตัวในเนื้อเยื่อปกติได้ เช่น เส้นผม ลำไส้ ไขกระดูก จึงเป็นเหตุให้เกิดผลข้างเคียงซึ่งอาจรุนแรงในผู้ป่วยบางราย ขณะที่ยายับยั้งการสร้างเส้นเลือดจะมีผลยับยั้งเฉพาะการสร้างเส้นเลือดที่เกิดใหม่ในก้อนมะเร็ง ทำให้ผลข้างเคียงที่พบน้อยกว่าการใช้ยาเคมีบำบัด ซึ่งสามารถยับยั้งการเติบโตของก้อนมะเร็งได้ อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น เลือดกำเดาออก ความดันโลหิตสูง พบสารโปรตีนในปัสสาวะ และแผลหายช้า
 
 
การติดตามผลการรักษา
        ผู้ป่วยหลังรักษาจะได้รับการติดตามโดยแพทย์ผู้รักษา เพื่อดูแลสุขภาพต่อไป การตรวจติดตามผลจะถี่หรือบ่อยเพียงใดขึ้นอยู่กับโรคและสภาพผู้ป่วยแต่สำคัญในช่วง 2 ปีแรกหลังการรักษา ซึ่งควรพบแพทย์ทุก 3 เดือน การติดตามผลโดยปกติจะใช้การตรวจร่างกาย ตรวจเลือด เพื่อหาสารติดตามผลมะเร็งและอื่น ๆ เช่น การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ และการตรวจวินิจฉัยทางรังสี ซึ่งแพทย์จะพิจารณาระยะเวลาตามความเหมาะสม
 
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
        - หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โทร. 0 7445 1469
        - ศูนย์มะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โทร. 0 7445 1595
 
กลับสู่ด้านบน
 
 
     
Untitled Document

   
      Best view 1024 x 768 pixel for Internet Explorer © หน่วยสารสนเทศมะเร็ง  โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
    ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110 โทร 0-7445-1595 โทรสาร 0-7445-1595 
ติชมได้ที่นี่ : pparadee@medicine.psu.ac.th